จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2562

'' มหัศจรรย์เเห่งเเฟนซีสีม่วง 111 '' สร้างอาชีพ-เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร



'' มหัศจรรย์เเห่งเเฟนซีสีม่วง 111 '' สร้างอาชีพ-เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร


ข้าวโพดเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อเพิ่มความหลากหลายของข้าวโพด บริษัท แปซิฟิคเมล็ดพันธุ์ จำกัด ได้ผสมสายพันธุ์ข้าวโพดมากมายหลายพันธุ์ จนได้ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงลูกผสม แฟนซี 111  จึงเปิดตัวขึ้นที่ศูนย์นานาชาติ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2554 โดยมี รศ.อาคม กาญจนประโชติ ที่ปรึกษาอธิการบดีม.แม่โจ้ เกษตรกรผู้ปลูก และตัวแทนร้านค้าผู้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ในจังหวัดเชียงใหม่เข้าร่วมเปิดตัว


คุณยงค์ยุทธ ปานสูง กรรมการบริหารบริษัท แปซิฟิค เมล็ดพันธุ์ จำกัด กล่าวว่า ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง ที่ผลิตได้เป็นพันธุ์ลูกผสมสีม่วง สามารถผลิตเพื่อการค้าได้ มักนำไปทำแป้งและอุตสาหกรรมขนม แต่พันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงที่บริษัทผลิตออกมา สามารถนำไปใช้เพื่อการบริโภคฝักสด มีคุณสมบัตินุ่ม หวาน เหนียว และที่สำคัญ สีม่วงของข้าวโพดมีสารแอนโทไซยานินค่อนข้างสูง จากการวิจัยของนักวิชาการที่มีบันทึกไว้มีจำนวนมาก ซึ่งสารสีม่วงมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมาก


คุณไพศาล หิรัญมาศสุวรรณ ผู้จัดการงานปรับปรุงพันธุ์พืช (ข้าวโพดฝักสด ผู้วิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง แฟนซี 111) บริษัท แปซิฟิค เมล็ดพันธุ์ จำกัด เปิดเผยว่า ย้อนหลังไปประมาณ 7-8 ปี ได้เข้าร่วมสัมมนาทางวิชาการข้าวโพดข้าวฟ่างแห่งชาติ มีการรายงานการวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนา ถึงการใช้เมล็ดข้าวโพดไร่สีม่วงเพื่อการเลี้ยงไก่พื้นเมือง ซึ่งผลการวิจัยพบว่า เมล็ดข้าวโพดไร่สีม่วงสามารถเร่งอัตราเจริญเติบโตของไก่ และยังทำให้ไก่มีสุขภาพแข็งแรงไม่เป็นโรค จึงมีความคิดว่า หากพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดฝักสด เช่น ข้าวโพดข้าวเหนียวให้มีสีม่วง เพื่อใช้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับบุคคลทั่วไปน่าจะได้รับความนิยมและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคในการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง
       
จากนั้นจึงดำเนินการขอพันธุ์ข้าวโพดสีม่วงจากมหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนา เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อพันธุกรรมในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง โดยนำเชื้อพันธุกรรมข้าวโพดสีม่วงผสมเข้ากับข้าวโพดข้าวเหนียวของโครงการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดฝักสด บริษัทแปซิฟิค เมล็ดพันธุ์ จำกัดได้พัฒนาขึ้นมาอยู่แล้ว จากนั้นทำการสกัดสายพันธุ์แท้จากคู่ผสมของเชื้อพันธุกรรมทั้งสอง ตามขบวนการปรับปรุงพันธุ์แบบวิธี conventional breeding method จนได้สายพันธุ์แท้ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง

จากนั้นนำสายพันธุ์แท้ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงผสมกับสายพันธุ์แท้ข้าวโพดข้าวเหนียวที่โครงการมีอยู่แล้ว เพื่อสร้างพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงลูกผสมขึ้นมา ซึ่งได้พันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวลูกผสม แล้วนำมาทำการทดสอบผลผลิตและคุณภาพฝักสด (ความเหนียว ความนุ่ม และรสชาติ) โดยใช้เวลาในการทดสอบทั้งในสถานีวิจัยและในแปลงของเกษตรกรเป็นเวลา 3-4 ปี จนสามารถคัดเลือกพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวลูกผสมออกมาได้ คือ พันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง แฟนซี 111 ที่ให้ผลผลิตสูง คุณภาพฝักสดดีเยี่ยมและยังปรับตัวได้ดีในสภาพแปลงเกษตรกรอีกด้วย รวมระยะเวลาตั้งแต่การพัฒนาสายพันธ์แท้จนสามารถคัดเลือกพันธุ์ออกมาได้ ซึ่งใช้เวลาในการพัฒนา 6-7 ปี

ขั้นตอนสำคัญของการพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวลูกผสม คือ การทดสอบพันธุ์ลูกผสมที่สร้างขึ้นมา การทดสอบมีทั้งผลผลิตและคุณภาพฝักสด ได้แก่ ความเหนียว ความนุ่ม และรสชาติ การทดสอบใน 2 ปีแรกเป็นการทดสอบในสถานีวิจัยเพื่อคัดเลือกพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวที่มีศักยภาพในการให้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพฝักสดดี ในปีที่ 3-4 เป็นการทดสอบพันธุ์ลูกผสมที่ผ่านการคัดเลือกจากในสถานีวิจัย โดยทำการทดสอบในสภาพแปลงของเกษตรกรจำนวนประมาณ 30-40 แห่งต่อปี โดยพันธุ์ที่สามารถให้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพฝักสดดีเด่นจะถูกคัดเลือกเพื่อจำหน่ายเป็นการค้าต่อไป

ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงลูกผสม แฟนซี 111 มีจุดเด่นในเรื่องของการให้ผลผลิตที่สูงและมีคุณภาพฝักสดดีเยี่ยม สามารถให้ผลผลิตทั้งเปลือกสูงกว่า 2,500 กิโลกรัมต่อไร่และฝักมีขนาดใหญ่ นอกจากจะเหนียวนุ่มแล้วรสชาติยังมีความหวาน สามารถปรับตัวได้ดีในสภาพแปลงเกษตรกรทั่วไป
       
พันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงลูกผสม แฟนซี 111 เมล็ดมีสีม่วงเข้ม แสดงว่ามีสารแอนโทไซยานิน (anthocyanins) นักวิทยาศาสตร์ทั้งในสหรัฐอเมริกาและในยุโรปหลายท่านได้ทำการศึกษาวิจัยประโยชน์ของแอนโทไซยานินและพบว่า สารแอนโทไซยานินมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวมีสูงกว่าวิตามินซีหลายพันเท่า ประโยชน์ของแอนโทไซยานินมีมากมายซึ่งสามารถพบเห็นได้ตามวารสารทางการแพทย์ ดังนั้น การรับประทานข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงเป็นประจำจึงเปรียบเสมือนกับการได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ร่างกายจะแข็งแรงและปราศจากโรคภัยต่างๆ

คุณไพศาล กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้าวโพดข้าวเหนียวแฟนซีสีม่วง 111 เป็นพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวเพื่อสุขภาพ เพราะมีสารแอนโทไซยานินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในการป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันนี้อาหารเสริมเพื่อสุขภาพมีจำหน่ายมากมายและล้วนมีราคาแพง ข้าวโพดข้าวเหนียวแฟนซีสีม่วง สามารถรับประทานเป็นประจำเพื่อเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพนอกจากนี้ยังมีราคาถูกกว่าอาหารเสริมอื่นๆ

จากการทดสอบพันธุ์ในแปลงเกษตรกรหลายแห่งได้แก่ อำเภอบ้านหมอ จังหวดสระบุรี, อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี, อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ พบเกษตรกรให้การยอมรับในเรื่องผลผลิต และเมื่อนำไปจำหน่ายในตลาดปรากฏว่าได้รับการยอมรับอย่างสูงจากผู้บริโภค โดยเกษตรกรสามารถขายฝักของพันธุ์แฟนซีสีม่วง 111 ได้ในราคาสองเท่าของราคาตลาด ด้วยรสชาติที่ทั้งเหนียว นุ่มและมีรสหวาน

คุณดวงกมล ใจสะอาด ผู้รวบรวมผลผลิต และจำหน่ายข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง แฟนซี 111 เล่าว่า เคล็ดลับในการทำให้ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง แฟนซี 111 น่ารับประทาน หอมหวาน เหนียวนุ่ม เมล็ดเต่งตึง และคงคุณค่าทางอาหารอย่างเต็มเปี่ยม มีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

นำฝักข้าวโพดสีม่วง (ข้าวโพดสีม่วง ที่เก็บเกี่ยวช่วงอายุ 67-70 วัน จะมีรสชาติดีที่สุด) ปอกเปลือกหุ้มฝักออก โดยให้เหลือเปลือกหุ้มฝักติดกับฝักประมาณ 2-3 ชั้น เพื่อรักษาสารแอนโทไซยานินให้คงอยู่ในเมล็ด และทำให้เมล็ดมีความเต่งตึงน่ารับประทาน เตรียมหม้อนึ่ง และใส่น้ำ/ต้มน้ำให้เดือด นำฝักข้าวโพดที่เตรียมไว้ตามข้อ 1 วางเรียงลงในหม้อนึ่งที่น้ำเดือดแล้ว ปิดฝาใช้เวลา นึ่งประมาณ 25-30 นาที เมื่อครบ 25-30 นาที จึงนำออกมารับประทาน หรืออาจปรุงรสด้วยเกลือ เล็กน้อย เพื่อรสชาติก่อนนำไปบริโภคก็ได้  สารแอนโทไซยานิน มีสีม่วง ละลายได้ดีใน

ความเย็น ดังนั้น ควรปล่อยให้ฝักข้าวโพด สีม่วงที่ต้มเย็นลงในระดับอุ่น  ๆ  ก่อนรับประทาน จะทำให้สีไม่ติดมือ และรสชาติรวมทั้งคุณค่าทางอาหารยังคงเดิม

คุณปราณี  เสนาจิต เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง แฟนซี 111 อยู่บ้านทุ่งสีทอง ต.ขี้เหล็ก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า การปลูกเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงและคุณภาพดี เริ่มจากการเตรียมดิน ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจของการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวให้ได้ผลผลิตสูง  เพราะถ้าดินมีสภาพดีเหมาะกับการงอกของเมล็ดจะทำให้มีจำนวนต้นต่อไร่สูง  ผลผลิตต่อไร่ก็จะสูงตามไปด้วยการเตรียมดินที่ดีควรมีการไถดะและทิ้งตากดินไว้ 3-5 วัน จากนั้นจึงไถแปรเพื่อย่อยดินให้     แตกละเอียดไม่เป็นก้อนใหญ่เหมาะกับการงอกของเมล็ด ควรมีการหว่านปุ๋ยคอก เช่น ปุ๋ยขี้ไก่  อัตราประมาณ 1 ตันต่อไร่ก่อนการไถแปร เพื่อเป็นการปรับปรุงโครงสร้างของดินให้ดีขึ้นสามารถอุ้มน้ำได้นานขึ้น และยังเป็นการเพิ่มธาตุอาหารให้กับข้าวโพด

การปลูกข้าวโพดให้เป็นแถว  สามารถปลูกได้สองวิธี คือ

การปลูกแบบแถวเดี่ยว ระยะระหว่างแถว 75 เซนติเมตร ระยะระหว่างต้น 20-25 เซนติเมตร ปลูกหลุมละ 1 ต้น จำนวนต้นต่อไร่ประมาณ 7,000-8,500 ต้น จะใช้เมล็ดประมาณ 2-3 กิโลกรัมต่อไร่

การปลูกแบบแถวคู่ มีการยกร่องสูง  ระยะระหว่างร่อง 120 เซนติเมตร ปลูกเป็นสองแถวข้างร่อง ระยะห่างกัน 30 เซนติเมตร ระยะระหว่างต้น 25-30 เซนติเมตร 1 ต้นต่อหลุม จะมีจำนวนต้นประมาณ 7,000-8,500 ต้นต่อไร่และใช้เมล็ดประมาณ 2-3 กิโลกรัมต่อไร่ การให้น้ำจะปล่อยน้ำตามร่องซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกดี

การใส่ปุ๋ย ข้าวโพดเหนียวมีขั้นตอนดังนี้

การใส่ปุ๋ยรองพื้น สูตรปุ๋ยที่แนะนำคือ 15-15-15 หรือ 25-7-7 หรือ 16-16-8  อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่  ใส่พร้อมปลูกหรือใส่ขณะเตรียมดิน ถ้าปลูกด้วยมือจะหยอดปุ๋ยที่ก้นหลุมแล้วกลบดินบางๆ ก่อนหยอดเมล็ด โดยไม่ให้ปุ๋ยสัมผัสกับเมล็ดโดยตรงเพราะอาจทำให้เมล็ดเน่าได้

การใส่ปุ๋ยแต่งหน้าครั้งที่ 1 สูตรปุ๋ยที่แนะนำคือ 46-0-0 (ยูเรีย) อัตรา 25-30 กิโลกรัมต่อไร่ ใส่เมื่อข้าวโพดมีอายุ 20-25 วันหลังปลูก โรยข้างต้นในขณะดินมีความชื้นหรือให้น้ำตาม หรือพูนโคนกลบปุ๋ยก็จะเป็นการกำจัดวัชพืชไปในตัว

 การใส่ปุ๋ยแต่งหน้าครั้งที่ 2 เมื่อข้าวโพดมีอายุ 40-45 วันหลังปลูก ถ้าแสดงอาการเหลืองหรือไม่สมบูรณ์ ให้ใส่ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ โรยข้างต้นในขณะดินมีความชื้นหรือให้น้ำตาม

การกำจัดวัชพืช มีวิธีดังนี้

การฉีดยาคุมวัชพืช  ใช้อลาคลอร์ ฉีดพ่นลงดินหลังจากปลูกก่อนที่วัชพืชจะงอกขณะฉีดพ่นดินควรมีความชื้นเพื่อทำให้ยามีประสิทธิภาพดีขึ้น

ใช้วิธีการเขตกรรม หากจำเป็นต้องใช้สารเคมีจะต้องได้รับคำแนะนำจากนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง

การให้น้ำ ระยะที่ข้าวโพดข้าวเหนียวขาดน้ำไม่ได้คือระยะ 7 วันแรกหลังปลูก เป็นระยะที่ข้าวโพดกำลังงอก ถ้าข้าวโพดข้าวเหนียวขาดน้ำช่วงนี้จะทำให้การงอกไม่ดี จำนวนต้นต่อพื้นที่ก็จะน้อยลงจะทำให้ผลผลิตลดลงไปด้วย ระยะที่ขาดน้ำไม่ได้อีกช่วงหนึ่งคือระยะออกดอก การขาดน้ำในช่วงนี้จะมีผลทำให้การผสมเกสรไม่สมบูรณ์ การติดเมล็ดไม่ดี ติดเมล็ดไม่เต็มถึงปลายหรือติดเมล็ดเป็นบางส่วน ทำให้ขายได้ราคาต่ำ โดยปกติถ้าเป็นพื้นที่ที่สามารถให้น้ำได้ควรให้น้ำทุก 3-5 วัน ขึ้นกับสภาพต้นข้าวโพดและสภาพอากาศ แต่ช่วงที่ควรให้น้ำถี่ขึ้นคือช่วงที่ข้าวโพดกำลังงอกและช่วงออกดอก

การเก็บเกี่ยว โดยปกติข้าวโพดข้าวเหนียวจะเก็บเกี่ยวเมื่อมีอายุประมาณ 60-70 วันหลังปลูก  แต่ระยะที่เหมาะสมสำหรับการเก็บเกี่ยวที่สุด คือ ระยะ 18-20 วันหลังข้าวโพดออกไหม 50 เปอร์เซ็นต์ (ข้าวโพด 100 ต้นมีไหม 50 ต้น) แต่ถ้าปลูกในช่วงอากาศหนาวเย็นอายุการเก็บเกี่ยวอาจจะยืดออกไปอีก ส่วนผลิตที่เก็บได้ต่อไร่ประมาณ 1,500 – 3,000 กิโลกรัม จำหน่ายกิโลกรัมประมาณ 6-8 บาท

ผู้สนใจติดต่อได้ที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้านท่าน หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท แปซิฟิค เมล็ดพันธุ์ จำกัด เลขที่ 1 หมู่ 13 ต.พระพุทธบาท อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี 18120 โทร.0-3626-6316-9 www.pacthai .co.th.

เจาะลึก ‘ทุเรียนนนท์’ กับเหตุผลทำไมต้องลูกละหมื่น!!

เจาะลึก ‘ทุเรียนนนท์’ กับเหตุผลทำไมต้องลูกละหมื่น!!

หลายๆ คนคงสงสัยว่า ‘ทุเรียนนนท์‘ ราคาลูกละหมื่นจริงหรือ…?!! มีความพิเศษกว่าทุเรียนที่ปลูกในจังหวัดอื่นๆอย่างไร วันนี้เรามีคำตอบให้กับทุกท่านในบทความนี้แน่นอน
ก่อนอื่นต้องเกริ่นก่อนว่า ‘ทุเรียน‘ ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘ราชาแห่งผลไม้’ ซึ่งพื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่จะอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และที่พบว่ามีการปลูกมาที่สุดนั้นก็คือประเทศไทย จึงปฏิเสธไม่ได้อย่างยิ่งว่าเมืองไทยเรามีพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ปลูกอะไรก็งาม ผลไม้ก็มีนานาชนิดให้รับประทานตลอดทั้งปี
สำหรับทุเรียนที่ปลูกในประเทศไทยนั้นมีอยู่ประมาณ 7 กลุ่มสายพันธุ์ ซึ่งสายพันธุ์หลักที่ติดหูคนไทย อาทิ ก้านยาว หมอนทอง ชะนี กระดุม พวงมณี และอื่นๆอีกมากมาย โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะออกผลผลิตในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. เรียกได้ว่าเป็นช่วงฤดูกาลของทุเรียน ซึ่งคนที่ชื่นชอบในการรับประทานทุเรียนก็ต่างหาซื้อมาทานก็อย่างมากมาย
และ จ.นนทบุรี ก็ถือได้ว่าเป็นจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องทุเรียนอย่างมาก ดั่งคำขวัญที่ว่า “พระตำหนักสง่างาม ลือนามสวนสมเด็จ เกาะเกร็ดแหล่งดินเผา วัดเก่านามระบือ เลื่องลือทุเรียนนนท์” ซึ่งหากเป็น ‘ทุเรียนนนท์’ แท้ๆ ดั้งเดิมราคาก็สูงมากเช่นกัน
วันนี้ MThaiNews ในช่วง ‘เกษตรสร้างรายได้‘ มีโอกาสได้เดินทางไปที่ ‘สวนทุเรียนนนท์ ป้าต้อย-ลุงหมู’ ตั้งอยู่ที่ 34/2 หมู่ที่ 3 ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นสวนของคุณมะลิวัลย์ หาญใจไทย หรือป้าต้อย และคุณสมนึก หาญใจไทย หรือลุงหมู สองสามีภรรยาที่ยังคงอนุรักษ์ ‘ทุเรียนนนท์’ ไว้
ป้าต้อย ได้เล่าให้ฟังว่าสวนทุเรียนแห่งนี้มีมาตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อแม่ จวบจบ ณ ปัจจุบันนี้เวลาก็ผ่านล่วงเลยมากว่า 40 ปีแล้ว ตนก็ได้ช่วยพ่อแม่ทำสวนมาตั้งแต่เด็กๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์เรื่อยมา ซึ่งในช่วงวัยรุ่นก็ตัดสินใจที่จะไม่เรียนต่อ เพราะอยากที่จะมุ่งสู่อาชีพชาวสวนทุเรียนอย่างเต็มตัว ประกอบกับเป็นคนที่ชื่นชอบและมีใจรักด้านการเกษตรอยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันนี้ก็รับช่วงสืบทอดจากรุ่นพ่อแม่และพร้อมที่จะถ่ายทอดวิชาความรู้สู่รุ่นลูกรุ่นหลานต่อไป
กับคำถามที่ว่า ‘ทุเรียนนนท์ ลูกละหมื่นจริงหรือไม่’ ป้าต้อยบอกกับทีมข่าวว่า แต่เดิมนั้นราคาทุเรียนนนท์ไม่ได้สูงขนาดนี้ เป็นราคาตามท้องตลาดทั่วไป แต่หลังช่วงปี 2538 ที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมขึ้นหลายๆ สวนได้รับความเสียหายทำให้ราคาเริ่มขยับขึ้นมาแต่ก็ยังไม่สูงมากนัก จนล่าสุดเมื่อปี 2554 ที่เกิดเหตุน้ำท่วมครั้งใหญ่ได้รับผลกระทบหลายพื้นที่ แต่สวนของตนรอดพ้นจากวิกฤตินั้นมาได้ เนื่องมาจากความร่วมมือร่วมใจของคนในชุมชน
ซึ่งน้ำท่วมใหญ่ในครั้งนั้นก็ทำให้สวนทุเรียนนนท์เสียหายอย่างมาก บางสวนต้องยอมปิดตัวลงเนื่องจากการปลูกทุเรียนนั้นต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานกว่าจะได้ผลผลิตซึ่งไม่ต่ำกว่า 5-6 ปีเลยทีเดียว และปัจจุบันที่ จ.นนทบุรี ก็เหลือเกษตรกรที่ปลูกทุเรียนเพียงไมกี่สวนเท่านั้นจนทำให้ขาดตลาด นั้นจึงเป็นสาเหตุที่ทำไม ‘ทุเรียนนนท์’ จึงมีราคาแพงถึงลูกละ 10,000 บาท ซึ่งหลังจากปี 2554 ราคาทุเรียนนนท์ก็ขยับตัวสูงขึ้น โดยที่สวนเคยขายได้ในราคาสูงสุดอยู่ที่ลูกละ 20,000 บาท ซึ่งตนเองก็ไม่คาดคิดว่าราคาทุเรียนนท์จะพุ่งสูงได้ขนาดนี้
สำหรับจุดเด่นของทุเรียนนนท์มีความพิเศษไม่เหมือนที่อื่นๆ คือจะมีเปลือกที่บาง กลิ่นหอมไม่มีกลิ่นเหม็นฉุน ตัวเนื้อทุเรียนจะมีรสชาติที่หวานกลมกล่อมละมุมลิ้น และที่สำคัญไม่มีเสี้ยนอีกด้วย ซึ่งดิน จ.นนทบุรี นั้นจะมีความอุดมสมบูรณ์มีสารอาหารที่เหมาะสมต่อทุเรียนทำให้รสชาติของทุเรียนดีตามไปด้วย โดยทุเรียนขึ้นชื่อของที่สวนนั้นก็คือ ‘ก้านยาว’ ราคาขั้นต่ำสุดจะอยู่ที่ 5,000 บาท ขนาดกลาง 12,000 – 15,000 บาท สูงสุดอยู่ที่ 20,000 บาท ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของลูกด้วยเช่นกัน รองลงมาจะเป็น ‘หมอนทอง’ ราคาจะอยู่ที่ 2,000 – 5,000 บาท
โดยส่วนใหญ่อายุของต้นทุเรียนในสวนดั่งเดิมก็มีอยู่หลักสิบปีขึ้นไปทั้งสิ้น และมีอีกหลายๆต้นที่อายุมากกว่า 30-40 ปี ปัจจุบันที่สวนของป้าต้อยมีต้นทุเรียนมากกว่า 100 ต้น ในพื้นที่การเพาะปลูก 4 ไร่ สามารถให้ผลผลิตต่อปีเฉลี่ย 100-200 ลูกต่อปี ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่างในแต่ละปี อาทิสภาพน้ำ ความร้อน รวมถึงการเผชิญกับภาวะน้ำเค็มด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ที่ส่วนทุเรียนของป้าต้อยปลูกทุเรียนด้วยการใช้วิธีการพูนดินหรือการยกโคก ซึ่งเป็นการปลูกที่เหมาะสมต่อต้นทุเรียนที่สุดทำให้รากหาอาหารได้เป็นอย่างดี ส่วนโรคที่พบได้บ่อยคือรากเน่าและเชื้อรา ซึ่งสาเหตุหลักๆ ก็มาจากถูกน้ำท่วมขัง โดยหากปล่อยให้น้ำท่วมขัง 7 วันรากของต้นก็จะเน่าทันที ที่สวนป้าต้อยจะทำการวิดน้ำทุกขังหากมีปริมาณในร่องสวนเกินกว่าที่กำหนดไว้ และจะมีการบำรุงต้นทุเรียนหลังจากช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตไปแล้ว หรือประมาณช่วงปลายเดือน มิ.ย. ก็จะกำจัดวัชพืชใส่ปุ๋ยมูลขี้ค้างคาวเป็นการบำรุงดินและเสริมสร้างสารอาหารให้กับต้นทุเรียนอีกด้วย
นอกจากสายพันธุ์ก้านยาวและหมอนทองแล้ว ที่สวนยังมีสายพันธุ์อื่นๆให้เลือกซื้อเช่น ชะนี พวงมณี สาวน้อย กระดุม กบ และอื่นๆ รวมทั้งยังมีผลไม้นานาชนิดอาทิ มังคุด ส้มโอ มะม่วงยายกล่ำ มะปราง ชมพู่ กล้วย และขนุน ซึ่งเมื่อออกผลผลิตก็สามารถนำไปจำหน่ายสร้างรายได้ เป็นการทำสวนทุเรียนผสมผสาน ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง จนได้รับให้เป็นสวนทุเรียนในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
และสิ่งที่น่าภูมิใจที่สุดในชีวิตของป้าต้อยคือการได้ทูลเกล้าฯถวายทุเรียนนนท์ ซึ่งเป็นสายพันธุ์ก้านยาว ถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่โรงพยาบาลศิริราชกับพระราชวังไกลกังวล ในช่วงปี 2556 ซึ่งหลังจากนั้นในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์ได้ทรงพระราชทานเมล็ดกลับมาที่สวน ตนเองก็ได้นำมีเพาะปลูกที่สวนจนปัจจุบันนี้อายุของต้นประมาณ 2 ปีแล้ว คาดว่าอีกประมาณ 3 ปี ก็สามารถที่จะให้ผลผลิตได้ และตั้งใจไว้ว่าหากได้ผลผลิตก็จะทูลเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
สำหรับใครที่สนใจซื้อทุเรียนนนท์ ต้องโทรสั่งจองล่วงหน้าได้ตั้งแต่เดือน เม.ย. เป็นต้นไป ซึ่งทุเรียนของสวนป้าต้อยนั้นไม่ได้มีการวางจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป จะเปิดจำหน่ายเฉพาะหน้าสวนเท่านั้น ซึ่งหากใครที่สนใจอยากเลือกซื้อ หรืออยากเข้ามาศึกษาข้อมูล สามารถไปได้ที่ ‘สวนทุเรียนนนท์ ป้าต้อย-ลุงหมู’ ตั้งอยู่ที่ 34/2 หมู่ที่ 3 ต.บางรักน้อย อ.เมือง จ.นนทบุรี หรือติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 087-030-3629 (ป้าต้อย)
บทความโดย ธเนตร พุทธิตระกูล / ภาพ วิชาญ โพธิ


















เกษตรกรเมืองนนท์หันปลูก ‘อินทผลัม’ ผลไม้ราคาแพงกำไรมหาศาล




เกษตรกรเมืองนนท์หันปลูก ‘อินทผลัม’ ผลไม้ราคาแพงกำไรมหาศาล
หากพูดถึงผลไม้ที่ชื่อว่า ‘อินทผลัม‘ หลายคนคงนึกถึงผลไม้ที่มีราคาสูง ซึ่งบางสายพันธุ์มีราคาสูงกว่าหนึ่งพันบาทต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว โดยผลไม้ชนิดนี้จัดเป็นพืชตระกูลปาล์มชนิดหนึ่ง มีมากกว่า 30 สายพันธุ์ และมีถิ่นกำเนิดในแถบตะวันออกกลาง เป็นพืชที่สามารถเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดีในเขตที่มีอากาศร้อน ซึ่งในประเทศไทยเริ่มมีการเพาะปลูกมาหลายปีแล้ว

วันนี้ MThaiNews ในช่วง ‘เกษตรสร้างรายได้‘ ได้มีโอกาศเดินทางไปพบกับคุณปรีชา ธรรมเชาวรัตน์ อายุ 77 ปี เจ้าของ ‘สวนอินทผลัมปรีชา‘ ตั้งอยู่ที่ 70 หมู่ 2 ต.บางพลับ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ซึ่งได้หันมาปลูก ‘อินทผลัม’ ส่งขายทั้งแบบเพาะเนื้อเยื้อ และจำหน่ายทั้งลูกอินทผลัม
โดยคุณปรีชา เปิดเผยว่าได้อยู่ในแวดวงเกษตรมานานกว่า 20 ปีแล้ว ซึ่งแต่ก่อนทำไม้ดอกไม้ประดับนั้นคือสวนชวนชมลีลาวดี จนสร้างชื่อเสียงได้อย่างกว้างขวางเป็นที่รู้จักก่อนที่จะถึงจุดอิ่มตัว จนหันมาศึกษาเรื่อง ‘อินทผลัม‘ เมื่อช่วงปี 2557 โดยได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานจากสวนต่างๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ซึ่งเหตุผลที่เลือกอินทผลัมนั้น เพราะนอกจากจะเป็นพืชที่มีราคาดีแล้ว ยังเป็นพืชที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายซึ่งมีสรรพคุณนานาชนิด
แรกเริ่มนั้นคุณปรีชาได้ลงทุนซื้อต้นอินทผลัมมาจำนวน 200 ต้น มูลค่าประมาณ 4 แสนบาท เริ่มปลูกในช่วงเดือนสิงหาคมปี 2557 และเริ่มให้ผลผลิตในช่วงเดือนมีนาคมปี 2558 แต่ยังไม่เป็นที่พอใจนัก เนื่องจากต้นอินทผลัมที่เพาะเลี้ยงนั้นส่วนใหญ่จะเป็นเพศผู้ ซึ่งจะออกแต่ดอกเพื่อนำมาใช้ผลิตเกสรนำไปผสมเท่านั้น จึงหันมานำเข้าต้นอินทผลัมที่ผ่านการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเข้ามาปลูกโดยสั่งมาจากต่างประเทศ
โดยต้นที่มาจากการเพาะเนื้อเยื้อนั้นจะได้เพศตามที่ต้องการชัดเจน ผลผลิตและเรื่องรสชาติก็จะได้เหมือนตามต้นแม่อีกด้วย แต่ก็จะมีราคาสูงขึ้นไปตามขนาดไซส์ โดยคุณปรีชาจะน้ำเนื้อเยื้อมาอนุบาลจนกระทั่งมีราก ความสูงของต้นประมาณ 30 เซนติเมตร ก็สามารถนำลงปลูกได้แล้ว
ซึ่งเทคนิคการปลูกอินทผลัมของคุณปรีชาจะปลูกเว้นระยะแต่ละต้น 7 เมตร หรือถ้าคิดตามสัดส่วน 1 ไร่ สามารถลงปลูกได้ประมาณ 30 ต้น เพศผู้ประมาณ 3-4 ต้น ไว้เอาเกสรผสมพันธุ์กับเพศเมีย และควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับการผสมพันธุ์นั้นจะนำเกสรที่ได้จากตัวดอกซึ่งมีลักษณะคล้ายแป้ง นำมาผสมกับแป้งเด็ก(ที่ไม่มีกลิ่น) เกสร 1 ส่วน แป้งเด็ก 5 ส่วน แล้วน้ำไปพ่นตามช่อของต้นเพศเมียในช่วงก่อนเดือน กรกฎาคม-สิงหาคม  โดยที่สวนของคุณปรีชาจะเน้นปลูกสายพันธุ์บาฮี ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่นิยมกินผลสดมีรสชาติหวาน มีหลายๆประมาณให้การยอมรับว่าสายพันธุ์นี้เมื่อมาเพาะปลูกที่ประเทศไทยมีรสชาติที่ดีกว่าหลายประเทศ

     อินทผลัมเมื่อลงปลูกแล้วจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปี 4 เดือน ถึง 2 ปี ก็สามารถให้ผลผลิตได้แล้ว เฉลี่ยจะให้ต่อต้นประมาณ 80 กิโลกรัม ยิ่งอายุต้นมากขึ้นก็ยิ่งให้ผลผลิตมากขึ้นเช่นกัน โดยอายุ 10-50 ปี นั้น สามารถให้ผลผลิตสูงถึง 400 กิโลกรัมต่อต้นเลยทีเดียว ราคากิโลกรัมที่ขายอยู่ตอนนี้ตกกิโลกรัมละ 500-600 บาท (ผลสดสายพันธุ์บาฮี)
ทั้งนี้สวนของคุณปรีชาจำหน่ายต้นอินทผลัมแบบเพาะเนื้อเยื้อไซส์อนุบาลต้นละ 1,500-1,600 บาท อายุ 5-6 เดือน ต้นละ 3,000-4,000 บาท ซึ่งในบางช่วงจะมีลูกค้ามาเหมาจำนวนหลายต้นกว่า 30-40 ต้นต่อรอบ อย่างไรก็ตามคุณปรีชายังระบุด้วยว่าอินทผลัมในประเทศ ณ ขณะนี้สามารถทำได้เนื่องจากยังมีเกษตรกรที่หันมาทำจำนวนไม่มากนัก ถือได้ว่าเป็นพืชผลไม้ทางเลือกอีกชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้อย่างงอกงาม
ทั้งนี้หากใครที่สนใจอยากปลูกอินทผลัม หรือต้องการไปเลือกซื้อทั้งแบบเป็นต้น หรือเป็นผลแล้ว ก็สามารถเดินทางไปได้ที่ ‘สวนอินทผลัมปรีชา’ ตั้งอยู่ที่ 70 หมู่ 2 ต.บางพลับ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี หรือติดต่อได้ที่เบอร์ 081-309-6086, 087-320-5009 (คุณปรีชา)
บทความและภาพโดย ธเนตร พุทธิตระกูล
ต้นอนุบาลที่มีรากแล้ว
ผลสดของอินทผลัมสายพันธุ์บาฮี
ต้นอินทผลัม

เงินไหลเวียนดีด้วยการเลี้ยงปลาคาร์ฟเป็นอาชีพเสริม


เงินไหลเวียนดีด้วยการเลี้ยงปลาคาร์ฟเป็นอาชีพเสริม

การเลี้ยง “ปลาคาร์ฟ” เป็นอาชีพเสริม

ในยุคที่เศรษฐกิจมีความฝืดเคือง สาเหตุอันเนื่องมาจากสภาพเศรษฐกิจโลกตกต่ำ การเงินในประเทศก็ไม่สู้ดี เงินเฟื้อเงินฝืด ค่าเงินลอยตัว ปัญหาความมั่นคงการก่อการร้าย ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ธุรกิจกระเตื้องหรือเติบโตช้า การมีงานทำถือเป็นความโชคดีที่สุดแล้ว แต่ทว่า อย่าว่าแต่เงินจะเก็บหอมรอมริบในแต่ละเดือนเลย การมีงานทำแต่เงินเดือนชักหน้าไม่ถึงหลัง ปัญหาหนี้สินยังพะรุงพะรังก็ยังคงรังควาญชีวติอยู่ จะแก้ปัญหานี้อย่างไร ทางออกหนึ่งสำหรับคนที่อยากปลดเปลื้องปัญหาการเงินคือ การมองหาอาชีพเสริม

การเลี้ยงปลาคาร์ฟ

เป็นอาชีพเสริมมีหลายคนที่ทำแล้วประสบความสำเร็จ นั่นเพราะ การเลี้ยงปลาคาร์ฟมีตลาดรองรับทั้งในและต่างประเทศ  นอกจากตลาดขนาดใหญ่แล้ว ปลาคาร์ฟยังเป็นสัตว์โตไว มีสีสันสวยงาม ในตระกูลหรือครอบครัวไทยเชื้อสายจีนมีความคิดหรือความเชื่อมั่นว่าการเลี้ยงปลาคาร์ฟนั้นเป็นการเสริมสร้างพลังงานให้บ้านและการทำธุรกิจ หรือบ้าน เพราะการว่ายของปลาในน้ำมีความเคลื่อนไหวตลอดเวลา และเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแรงไม่เจ็บป่วย ปลากคราฟจึงเป็นปลาที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงและจับต้องได้ จึงเป็นที่มาของการเติบโตในภาคการตลาด
การเลี้ยงปลาคาร์ฟเป็นอาชีพเสริมสิ่งสำคัญอยู่ที่พ่อและแม่พันธุ์ปลาที่จะคัดมาเลี้ยง ซึ่งการเลือกพันธุ์ปลาคงไม่ได้เกิดขึ้นปุบปับ การตระเวนหาแหล่งพ่อพันธุ์แม่พันธุ์จากฟาร์มที่น่าเชื่อถือจึงเป็นการเสียเวลาแต่จะทำให้คุณมั่นใจได้ในคุณภาพ เป็นการลงทุนด้านเวลาที่คุ้มค่า เมื่อเจอฟาร์มที่ใช่และไว้ใจได้แล้ว คุณต้องมีความรู้และต้องเป็นคนที่คัดปลาเองกับมือ หากคุณเป็นมือใหม่ยังไม่มั่นใจในความฉกาจฉกรรจ์อาจลองพาหรือหาผู้รู้ไปด้วยก็จะดี หลักๆ ของการคัดปลาคือต้องมีกำลังดี ว่ายแข็ง รูปร่างอ้วนถ้วนสมบูรณ์ ตำหนิน้อย เช่น เกล็ดมันวาวสมบูรณ์ ตามลำตัวไม่มีแผล หางไม่แหว่งเว้า สีสันและลวดลายเห็นชัดสีสด สีคม เพราะยิ่งสีชัดสีคมยิ่งเป็นการบอกว่าปลาตัวนี้มีความแข็งแรงในระดับหนึ่ง รวมถึงขนาดของตัวปลาก็เช่นกัน  เป็นต้น นอกจากนี้ คนที่เป็นผู้รู้หรือมีทักษะความชำนาญในการเลือกปลาจะสาสมารถดูออกว่าปลาตัวไหนมีโรคหรือไม่มีโรค สิ่งนี้สำคัญไม่แพ้กัน เพราะปลาที่ป่วยหรือเป็นโรค เป็นแหล่งเพาะโรคชั้นดีให้กับปลาในบ่อเดียวกัน หากเลือกไม่ดีได้ปลาป่วยจะทำให้ปลาตายยกบ่อได้ง่ายๆ  ในส่วนของราคาถูกแพงขึ้นอยู่ปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมด และปัจจัยอื่นๆ ประกอบอีกยิบย่อย ราคามีสูงไปจนหลักหมื่นถึงหลักแสนเลยก็ยังมี หากคุณเป็นนักล่าอาชีพเสริมหน้าใหม่ ลองเล่นราคาแบบย่อมเยาว์ดูก่อนจะดีกว่า เมื่อเสต็ปเลือกสรรปลาเรียบร้อยก็เข้าสู่การนำลงบ่อ
การเตรียมน้ำก็สำคัญอีกเช่นกัน พึงระลึกเสมอว่าน้ำไม่ดีปลาเน่าตายได้ง่ายๆ น้ำที่ดีควรมีการกรองน้ำและทิ้งน้ำไว้สักสามวันเพื่อให้คลอรีนระเหยออกไป น้ำประปาตามบ้านเรานี่แหละที่ดีที่สุด สะอาดตามมาตรฐานการประปาไทย ถ้าไม่มั่นใจหาอุปกรณ์วัดค่า ph ของน้ำก็ได้ เพื่อจะได้มั่นใจว่าไม่มีกรดไม่มีด่างมาคอยกวนใจปลาแล้วค่อยๆ ปล่อยปลาน้อยลงไปเวียนว่าย ผ่านไปสักสองวันจึงค่อยฟีดปลา เรียกได้กว่าให้ปลาได้ปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมน้ำ สภาพเพื่อน สภาพการกินอยู่จะทำให้ปลาแข็งแรงกว่าทำแบบรีบร้อน และแม้ว่าปลากคราฟจะเป็นปลาที่ทนต่อสภาพต่างๆ ได้ดี กินง่ายอยู่ง่ายอารมณ์ดีก็ตาม แต่อย่างที่กล่าวไว้ว่าน้ำคือสิ่งที่มาคอยหล่อเลี้ยงพวกเขาเหล่านั้น การรักษาความสะอาดโดยการให้น้ำไหลเวียนอย่างเป็นธรรมชาติจะยิ่งทำให้ปลาแข็งแรงและสวยงามเป็นทวีคูณ ทริคคือในบ่อหนึ่งๆ ควรมีจำนวนปลาไม่แน่นเกินไปเพื่อให้เขาได้แหวกว่ายอย่างสบายใจ หรือหากจะมีหลายตัวบ่อก็ควรมีขนาดกว้างมากขึ้น
การเลี้ยงปลาคราฟ
ในด้านของอาหารการกิน ปลากกินทั้งลูกน้ำ กุ้งฝอย หนอน กระทั้งอาหารเม็ด หรืออาหารสำเร็จรูปสำหรับปลา และมีทั้งแบบธรรมดาแบบเสริมอาหารเพื่อเร่งปลาให้โต เร่งวุ้น เร่งสี   อาหารที่ลอยอยู่ควรช้อนทิ้งเพื่อไม่ให้น้ำเน่าเสีย  อาหารตามธรรมชาติพวกตะไคร่เป็นอาหารตามธรรมชาติชั้นดีของปลา ปล่อยไว้ได้
จากความเอาใจใส่ที่ไม่ต้องจุกจิกมากเหมือนอาชีพเสริมประเภทอื่นๆ ทำให้การเลี้ยงปลาคาร์ฟเป็นแหล่งโกยเงินโกยทองที่สำคัญในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ ประเทศไทยมีส่วนแบ่งในตลาดโลกเกี่ยวกับการเลี้ยงปลาสวยงามร้อยละ 5.0 อยู่ในอันดับเจ็ดของเอเชีย ซึ่งเอเชียเองครองตลาดส่งออกกว่า 50% เหตุใดเลยเราจะไม่สนใจอาชีพเสริมนี้ ส่วนตลาดในประเทศแม้จะได้รับความนิยม แต่เมื่อเทียบกับการเติบโตของตลาดต่างประเทศแล้ว ยังมีโอกาสคว้ากำไรได้อีกไม่รู้จบ อีกทั้งประเทศไทยเองยังมีความได้เปรียบในสภาพแวดล้อม ทั้งน้ำ อากาศ ที่ส่งผลให้การเลี้ยงปลาคาร์ฟเติบโตได้ดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ตลาดต่างประเทศที่เขาสนใจและนำเข้าปลาของบ้านเราคือตลาดสหรัฐและยุโรป แค่สองแหล่งนี้ก็บอกเป็นนัยๆ ได้แล้วว่าเงินจะไหลเข้าเทเข้าแบบไม่เว้นแต่ละวัน หากเราตั้งใจและมุ่งมั่น ไม่แน่ว่าอาชีพเสริมนี้อาจกลายเป็นอาชีพหลักที่ทำให้ร่ำรวยขึ้นมาได้ในพริบตา

'' มหัศจรรย์เเห่งเเฟนซีสีม่วง 111 '' สร้างอาชีพ-เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร




'' มหัศจรรย์เเห่งเเฟนซีสีม่วง 111 '' สร้างอาชีพ-เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร


ข้าวโพดเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อเพิ่มความหลากหลายของข้าวโพด บริษัท แปซิฟิคเมล็ดพันธุ์ จำกัด ได้ผสมสายพันธุ์ข้าวโพดมากมายหลายพันธุ์ จนได้ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงลูกผสม แฟนซี 111  จึงเปิดตัวขึ้นที่ศูนย์นานาชาติ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2554 โดยมี รศ.อาคม กาญจนประโชติ ที่ปรึกษาอธิการบดีม.แม่โจ้ เกษตรกรผู้ปลูก และตัวแทนร้านค้าผู้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ในจังหวัดเชียงใหม่เข้าร่วมเปิดตัว


คุณยงค์ยุทธ ปานสูง กรรมการบริหารบริษัท แปซิฟิค เมล็ดพันธุ์ จำกัด กล่าวว่า ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง ที่ผลิตได้เป็นพันธุ์ลูกผสมสีม่วง สามารถผลิตเพื่อการค้าได้ มักนำไปทำแป้งและอุตสาหกรรมขนม แต่พันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงที่บริษัทผลิตออกมา สามารถนำไปใช้เพื่อการบริโภคฝักสด มีคุณสมบัตินุ่ม หวาน เหนียว และที่สำคัญ สีม่วงของข้าวโพดมีสารแอนโทไซยานินค่อนข้างสูง จากการวิจัยของนักวิชาการที่มีบันทึกไว้มีจำนวนมาก ซึ่งสารสีม่วงมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมาก


คุณไพศาล หิรัญมาศสุวรรณ ผู้จัดการงานปรับปรุงพันธุ์พืช (ข้าวโพดฝักสด ผู้วิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง แฟนซี 111) บริษัท แปซิฟิค เมล็ดพันธุ์ จำกัด เปิดเผยว่า ย้อนหลังไปประมาณ 7-8 ปี ได้เข้าร่วมสัมมนาทางวิชาการข้าวโพดข้าวฟ่างแห่งชาติ มีการรายงานการวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนา ถึงการใช้เมล็ดข้าวโพดไร่สีม่วงเพื่อการเลี้ยงไก่พื้นเมือง ซึ่งผลการวิจัยพบว่า เมล็ดข้าวโพดไร่สีม่วงสามารถเร่งอัตราเจริญเติบโตของไก่ และยังทำให้ไก่มีสุขภาพแข็งแรงไม่เป็นโรค จึงมีความคิดว่า หากพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดฝักสด เช่น ข้าวโพดข้าวเหนียวให้มีสีม่วง เพื่อใช้เป็นอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับบุคคลทั่วไปน่าจะได้รับความนิยมและเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคในการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง
       
จากนั้นจึงดำเนินการขอพันธุ์ข้าวโพดสีม่วงจากมหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนา เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อพันธุกรรมในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง โดยนำเชื้อพันธุกรรมข้าวโพดสีม่วงผสมเข้ากับข้าวโพดข้าวเหนียวของโครงการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดฝักสด บริษัทแปซิฟิค เมล็ดพันธุ์ จำกัดได้พัฒนาขึ้นมาอยู่แล้ว จากนั้นทำการสกัดสายพันธุ์แท้จากคู่ผสมของเชื้อพันธุกรรมทั้งสอง ตามขบวนการปรับปรุงพันธุ์แบบวิธี conventional breeding method จนได้สายพันธุ์แท้ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง

จากนั้นนำสายพันธุ์แท้ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงผสมกับสายพันธุ์แท้ข้าวโพดข้าวเหนียวที่โครงการมีอยู่แล้ว เพื่อสร้างพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงลูกผสมขึ้นมา ซึ่งได้พันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวลูกผสม แล้วนำมาทำการทดสอบผลผลิตและคุณภาพฝักสด (ความเหนียว ความนุ่ม และรสชาติ) โดยใช้เวลาในการทดสอบทั้งในสถานีวิจัยและในแปลงของเกษตรกรเป็นเวลา 3-4 ปี จนสามารถคัดเลือกพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวลูกผสมออกมาได้ คือ พันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง แฟนซี 111 ที่ให้ผลผลิตสูง คุณภาพฝักสดดีเยี่ยมและยังปรับตัวได้ดีในสภาพแปลงเกษตรกรอีกด้วย รวมระยะเวลาตั้งแต่การพัฒนาสายพันธ์แท้จนสามารถคัดเลือกพันธุ์ออกมาได้ ซึ่งใช้เวลาในการพัฒนา 6-7 ปี

ขั้นตอนสำคัญของการพัฒนาพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวลูกผสม คือ การทดสอบพันธุ์ลูกผสมที่สร้างขึ้นมา การทดสอบมีทั้งผลผลิตและคุณภาพฝักสด ได้แก่ ความเหนียว ความนุ่ม และรสชาติ การทดสอบใน 2 ปีแรกเป็นการทดสอบในสถานีวิจัยเพื่อคัดเลือกพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวที่มีศักยภาพในการให้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพฝักสดดี ในปีที่ 3-4 เป็นการทดสอบพันธุ์ลูกผสมที่ผ่านการคัดเลือกจากในสถานีวิจัย โดยทำการทดสอบในสภาพแปลงของเกษตรกรจำนวนประมาณ 30-40 แห่งต่อปี โดยพันธุ์ที่สามารถให้ผลผลิตสูงและมีคุณภาพฝักสดดีเด่นจะถูกคัดเลือกเพื่อจำหน่ายเป็นการค้าต่อไป

ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงลูกผสม แฟนซี 111 มีจุดเด่นในเรื่องของการให้ผลผลิตที่สูงและมีคุณภาพฝักสดดีเยี่ยม สามารถให้ผลผลิตทั้งเปลือกสูงกว่า 2,500 กิโลกรัมต่อไร่และฝักมีขนาดใหญ่ นอกจากจะเหนียวนุ่มแล้วรสชาติยังมีความหวาน สามารถปรับตัวได้ดีในสภาพแปลงเกษตรกรทั่วไป
       
พันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงลูกผสม แฟนซี 111 เมล็ดมีสีม่วงเข้ม แสดงว่ามีสารแอนโทไซยานิน (anthocyanins) นักวิทยาศาสตร์ทั้งในสหรัฐอเมริกาและในยุโรปหลายท่านได้ทำการศึกษาวิจัยประโยชน์ของแอนโทไซยานินและพบว่า สารแอนโทไซยานินมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวมีสูงกว่าวิตามินซีหลายพันเท่า ประโยชน์ของแอนโทไซยานินมีมากมายซึ่งสามารถพบเห็นได้ตามวารสารทางการแพทย์ ดังนั้น การรับประทานข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วงเป็นประจำจึงเปรียบเสมือนกับการได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ร่างกายจะแข็งแรงและปราศจากโรคภัยต่างๆ

คุณไพศาล กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้าวโพดข้าวเหนียวแฟนซีสีม่วง 111 เป็นพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวเพื่อสุขภาพ เพราะมีสารแอนโทไซยานินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในการป้องกันการเกิดโรคต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันนี้อาหารเสริมเพื่อสุขภาพมีจำหน่ายมากมายและล้วนมีราคาแพง ข้าวโพดข้าวเหนียวแฟนซีสีม่วง สามารถรับประทานเป็นประจำเพื่อเป็นอาหารเสริมเพื่อสุขภาพนอกจากนี้ยังมีราคาถูกกว่าอาหารเสริมอื่นๆ

จากการทดสอบพันธุ์ในแปลงเกษตรกรหลายแห่งได้แก่ อำเภอบ้านหมอ จังหวดสระบุรี, อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี, อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ พบเกษตรกรให้การยอมรับในเรื่องผลผลิต และเมื่อนำไปจำหน่ายในตลาดปรากฏว่าได้รับการยอมรับอย่างสูงจากผู้บริโภค โดยเกษตรกรสามารถขายฝักของพันธุ์แฟนซีสีม่วง 111 ได้ในราคาสองเท่าของราคาตลาด ด้วยรสชาติที่ทั้งเหนียว นุ่มและมีรสหวาน

คุณดวงกมล ใจสะอาด ผู้รวบรวมผลผลิต และจำหน่ายข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง แฟนซี 111 เล่าว่า เคล็ดลับในการทำให้ข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง แฟนซี 111 น่ารับประทาน หอมหวาน เหนียวนุ่ม เมล็ดเต่งตึง และคงคุณค่าทางอาหารอย่างเต็มเปี่ยม มีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้

นำฝักข้าวโพดสีม่วง (ข้าวโพดสีม่วง ที่เก็บเกี่ยวช่วงอายุ 67-70 วัน จะมีรสชาติดีที่สุด) ปอกเปลือกหุ้มฝักออก โดยให้เหลือเปลือกหุ้มฝักติดกับฝักประมาณ 2-3 ชั้น เพื่อรักษาสารแอนโทไซยานินให้คงอยู่ในเมล็ด และทำให้เมล็ดมีความเต่งตึงน่ารับประทาน เตรียมหม้อนึ่ง และใส่น้ำ/ต้มน้ำให้เดือด นำฝักข้าวโพดที่เตรียมไว้ตามข้อ 1 วางเรียงลงในหม้อนึ่งที่น้ำเดือดแล้ว ปิดฝาใช้เวลา นึ่งประมาณ 25-30 นาที เมื่อครบ 25-30 นาที จึงนำออกมารับประทาน หรืออาจปรุงรสด้วยเกลือ เล็กน้อย เพื่อรสชาติก่อนนำไปบริโภคก็ได้  สารแอนโทไซยานิน มีสีม่วง ละลายได้ดีใน

ความเย็น ดังนั้น ควรปล่อยให้ฝักข้าวโพด สีม่วงที่ต้มเย็นลงในระดับอุ่น  ๆ  ก่อนรับประทาน จะทำให้สีไม่ติดมือ และรสชาติรวมทั้งคุณค่าทางอาหารยังคงเดิม

คุณปราณี  เสนาจิต เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวสีม่วง แฟนซี 111 อยู่บ้านทุ่งสีทอง ต.ขี้เหล็ก อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า การปลูกเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงและคุณภาพดี เริ่มจากการเตรียมดิน ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจของการปลูกข้าวโพดข้าวเหนียวให้ได้ผลผลิตสูง  เพราะถ้าดินมีสภาพดีเหมาะกับการงอกของเมล็ดจะทำให้มีจำนวนต้นต่อไร่สูง  ผลผลิตต่อไร่ก็จะสูงตามไปด้วยการเตรียมดินที่ดีควรมีการไถดะและทิ้งตากดินไว้ 3-5 วัน จากนั้นจึงไถแปรเพื่อย่อยดินให้     แตกละเอียดไม่เป็นก้อนใหญ่เหมาะกับการงอกของเมล็ด ควรมีการหว่านปุ๋ยคอก เช่น ปุ๋ยขี้ไก่  อัตราประมาณ 1 ตันต่อไร่ก่อนการไถแปร เพื่อเป็นการปรับปรุงโครงสร้างของดินให้ดีขึ้นสามารถอุ้มน้ำได้นานขึ้น และยังเป็นการเพิ่มธาตุอาหารให้กับข้าวโพด

การปลูกข้าวโพดให้เป็นแถว  สามารถปลูกได้สองวิธี คือ

การปลูกแบบแถวเดี่ยว ระยะระหว่างแถว 75 เซนติเมตร ระยะระหว่างต้น 20-25 เซนติเมตร ปลูกหลุมละ 1 ต้น จำนวนต้นต่อไร่ประมาณ 7,000-8,500 ต้น จะใช้เมล็ดประมาณ 2-3 กิโลกรัมต่อไร่

การปลูกแบบแถวคู่ มีการยกร่องสูง  ระยะระหว่างร่อง 120 เซนติเมตร ปลูกเป็นสองแถวข้างร่อง ระยะห่างกัน 30 เซนติเมตร ระยะระหว่างต้น 25-30 เซนติเมตร 1 ต้นต่อหลุม จะมีจำนวนต้นประมาณ 7,000-8,500 ต้นต่อไร่และใช้เมล็ดประมาณ 2-3 กิโลกรัมต่อไร่ การให้น้ำจะปล่อยน้ำตามร่องซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกดี

การใส่ปุ๋ย ข้าวโพดเหนียวมีขั้นตอนดังนี้

การใส่ปุ๋ยรองพื้น สูตรปุ๋ยที่แนะนำคือ 15-15-15 หรือ 25-7-7 หรือ 16-16-8  อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่  ใส่พร้อมปลูกหรือใส่ขณะเตรียมดิน ถ้าปลูกด้วยมือจะหยอดปุ๋ยที่ก้นหลุมแล้วกลบดินบางๆ ก่อนหยอดเมล็ด โดยไม่ให้ปุ๋ยสัมผัสกับเมล็ดโดยตรงเพราะอาจทำให้เมล็ดเน่าได้

การใส่ปุ๋ยแต่งหน้าครั้งที่ 1 สูตรปุ๋ยที่แนะนำคือ 46-0-0 (ยูเรีย) อัตรา 25-30 กิโลกรัมต่อไร่ ใส่เมื่อข้าวโพดมีอายุ 20-25 วันหลังปลูก โรยข้างต้นในขณะดินมีความชื้นหรือให้น้ำตาม หรือพูนโคนกลบปุ๋ยก็จะเป็นการกำจัดวัชพืชไปในตัว

 การใส่ปุ๋ยแต่งหน้าครั้งที่ 2 เมื่อข้าวโพดมีอายุ 40-45 วันหลังปลูก ถ้าแสดงอาการเหลืองหรือไม่สมบูรณ์ ให้ใส่ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) อัตรา 25 กิโลกรัมต่อไร่ โรยข้างต้นในขณะดินมีความชื้นหรือให้น้ำตาม

การกำจัดวัชพืช มีวิธีดังนี้

การฉีดยาคุมวัชพืช  ใช้อลาคลอร์ ฉีดพ่นลงดินหลังจากปลูกก่อนที่วัชพืชจะงอกขณะฉีดพ่นดินควรมีความชื้นเพื่อทำให้ยามีประสิทธิภาพดีขึ้น

ใช้วิธีการเขตกรรม หากจำเป็นต้องใช้สารเคมีจะต้องได้รับคำแนะนำจากนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง

การให้น้ำ ระยะที่ข้าวโพดข้าวเหนียวขาดน้ำไม่ได้คือระยะ 7 วันแรกหลังปลูก เป็นระยะที่ข้าวโพดกำลังงอก ถ้าข้าวโพดข้าวเหนียวขาดน้ำช่วงนี้จะทำให้การงอกไม่ดี จำนวนต้นต่อพื้นที่ก็จะน้อยลงจะทำให้ผลผลิตลดลงไปด้วย ระยะที่ขาดน้ำไม่ได้อีกช่วงหนึ่งคือระยะออกดอก การขาดน้ำในช่วงนี้จะมีผลทำให้การผสมเกสรไม่สมบูรณ์ การติดเมล็ดไม่ดี ติดเมล็ดไม่เต็มถึงปลายหรือติดเมล็ดเป็นบางส่วน ทำให้ขายได้ราคาต่ำ โดยปกติถ้าเป็นพื้นที่ที่สามารถให้น้ำได้ควรให้น้ำทุก 3-5 วัน ขึ้นกับสภาพต้นข้าวโพดและสภาพอากาศ แต่ช่วงที่ควรให้น้ำถี่ขึ้นคือช่วงที่ข้าวโพดกำลังงอกและช่วงออกดอก

การเก็บเกี่ยว โดยปกติข้าวโพดข้าวเหนียวจะเก็บเกี่ยวเมื่อมีอายุประมาณ 60-70 วันหลังปลูก  แต่ระยะที่เหมาะสมสำหรับการเก็บเกี่ยวที่สุด คือ ระยะ 18-20 วันหลังข้าวโพดออกไหม 50 เปอร์เซ็นต์ (ข้าวโพด 100 ต้นมีไหม 50 ต้น) แต่ถ้าปลูกในช่วงอากาศหนาวเย็นอายุการเก็บเกี่ยวอาจจะยืดออกไปอีก ส่วนผลิตที่เก็บได้ต่อไร่ประมาณ 1,500 – 3,000 กิโลกรัม จำหน่ายกิโลกรัมประมาณ 6-8 บาท

ผู้สนใจติดต่อได้ที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้านท่าน หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท แปซิฟิค เมล็ดพันธุ์ จำกัด เลขที่ 1 หมู่ 13 ต.พระพุทธบาท อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี 18120 โทร.0-3626-6316-9 www.pacthai .co.th.